รักษา อาการเครียด ปวดหัว นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า สมองเสื่อม โรคทางจิตเวช ปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ ขอนแก่นการแพทย์คลินิก
เปิดกว้าง โรคทางใจ สุขภาพจิตดี ชีวีมีสุข
อย่าปล่อยให้ความทุกข์ทำลายสุขภาพจิตคุณ และคนที่คุณรัก กลับมามีความสุขอีกครั้ง เราช่วยคุณได้โรคทางจิตเวช วิตกกังวล เครียด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ไมเกรน สมองเสื่อม ติดบุหรี่ สุรา สารเสพติด ย้ำคิดย้ำทำ แพนิค อาการทางจิต โรคจิตเภท ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน
พญ.สิริกุล ใจเกษมวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำ โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์
1.ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมาก จะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา
2.หากเกิดอาการเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า ต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน
3.ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด
4.หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์
5.การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotoninเพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ
6.หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า
7.ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี
ความเครียดสามารถควบคุมได้ค่ะ โดยฝึกและพัฒนาจากตนเองก่อนนะคะ อาทิเช่น
1.คิดในแง่ดี
2.มีปัญหาเล่าสู่กันฟัง
3.สร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว
4.รักษาสุขภาพกายและจิตใจให้แข็งแกร่ง
5.ฝึกเทคนิคคลายเครียดด้วยวิธีการต่างๆ
6.วางแผนการบริหารจัดการเวลา
7.จัดการสิ่งที่จัดการได้ก่อน
8.เลือกสิ่งที่เป็นไปได้จริง
9.ตัดสินใจอย่างฉลาด
สุขภาพจิตดีมีสุขค่ะ ด้วยรักและห่วงใย
อาการเหล่านี้คืออาการเบื้องต้นของความเครียดและวิตกกังวลค่ะ
✔ หัวใจเต้นเร็ว และถี่ขึ้น
✔ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
✔ อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจลำบาก
✔ เหงื่ออกบริเวณฝ่ามือ ตามตัว
✔ ปากแห้ง
✔ ตัวสั่น กระตุก
✔ มีอาการตึงบริเวณต้นคอหรือหลัง
✔ ปวดศีรษะ
✔ ปัสสาวะบ่อย หรือท้องเสีย
✔ คลื่นไส้ อาเจียน
✔ นอนไม่หลับ
✔ เบื่ออาหาร
✔ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
✔ เวียนศีรษะ
✔ เจ็บป่วยบ่อย
✔ บุคลิกภาพ รูปร่าง การทรงตัวเปลี่ยนไป
✔ มีการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน (ในเพศหญิง)
✔ ผิวหนังซีด
✔ น้ำตาลถูกขับออกจากตับมากขึึ้น รู้สึกหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม
✔ มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำย่อย การเผาผลาญ
✔ หงุดหงิดง่าย กระสับกระส่าย
✔ โกรธง่าย
✔ รู้สึกตนเองไม่มีค่า ไม่มีความสำคัญ
✔ เศร้า เสียใจง่าย ร้องไห้บ่อย
✔ สงสัยบ่อย จะซักถามมากขึ้น
✔ พักผ่อนได้น้อย
✔ หวาดหวั่น
✔ แยกตัว
✔ ขาดความสนใจ ขาดความคิดริเริ่ม
✔ ร้องไห้ง่าย แม้เรื่องเพียงเล็กน้อย
✔ เรียกร้อง พึ่งพาผู้อื่น
✔ ตำหนิติเตียนผู้อื่น
✔ วิจารณ์ตัวเองและผู้อื่น
✔ มีความโน้มเอียงที่จะทำลายตัวเอง
✔ ฝันร้าย
✔ ไร้อารมณ์
✔ แยกตัว สัมพันธภาพกับผู้อื่นเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ด้วยค่ะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ขอนแก่นการแพทย์คลินิก 093-6591254
**รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด
**ระวังการใช้สารที่อาจเกิดอันตรายต่อสมอง เช่น การดื่มสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น
** ระวังปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น สูบบุหรี่ หรืออยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่
** การฝึกสมอง พยายามทำกิจกรรมที่ได้ใช้สมองอย่างสม่ำเสมอ เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป คิดเลข เล่นเกมตอบปัญหา การดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ เช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางเดินทางที่เคยใช้ประจำ ลองใช้ประสาทสัมผัสอื่นที่ไม่ค่อยได้ใช้ เช่น ฝึกเขียนหนังสือ หรือแปรงฟันด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด ถือเป็นการออกกำลังสมองอย่างหนึ่ง
**ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
**ตรวจสุขภาพประจำปี
**ระมัดระวังอุบัติเหตุต่าง ๆ โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่ศีรษะ
**หลีกเลี่ยงความเครียด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเดินทางไปพักผ่อน การฝึกสมาธิ เป็นต้น
1. รักษาโรคต้นเหตุของภาวะสมองเสื่อม
2. รักษาตามอาการแบบประคับประคอง
3. การให้ยาบำบัดรักษา
การรักษาโรคต้นเหตุของภาวะสมองเสื่อม เป็นหัวใจที่สำคัญยิ่งและต้องรีบกระทำโดยเร็วและทันท่วงทีแล้วแต่ชนิดของสาเหตุต่างๆกันจึงจะได้ผลดีดังกล่าวแล้ว
ปัญหาสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะสำหรับตัวผู้ป่วยแต่เพียงผู้เดียว โรคนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อครอบครัว คนรอบข้าง และสังคมอย่างที่เรานึกไม่ถึงเลยทีเดียว เพื่อเป็นแนวทาง และทำความเข้าใจกับโรคนี้
คำแนะนำสำหรับการให้การดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมไว้ดังนี้
**ทำความเข้าใจ ผู้ดูแลต้องทำความเข้าใจและยอมรับกับภาวะสมองเสื่อมของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีปัญหาเรื่องความจำ และการใช้ความคิดด้านต่าง ๆ ตลอดจนการสูญเสียความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมตนเองของผู้ป่วย จนทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพ พฤติกรรม ไปจนถึงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ และที่สำคัญต้องเข้าใจว่าอาการเหล่านั้นเกิดขึ้นสืบเนื่องจากโรคที่ผู้ป่วยเป็นไม่ใช่แกล้งทำ
**ให้ความรัก การดูแลด้วยความรักและความเข้าใจ เมื่อผู้ดูแลตระหนักว่ายังมีความรักให้กับผู้ป่วยแล้ว ผู้ดูแลก็จะสรรหาวิธีการรักษาการดูแลด้านจิตใจ และอื่น ๆ ผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือด้านจิตใจของผู้ป่วยได้ โดยการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การขับถ่ายอย่างถูกสุขอนามัย การอาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้า รวมไปถึงการดูแลผู้ป่วยเมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้านเพื่อไม่ให้เกิดการพลัดหลงกัน
**รู้ขีดจำกัดของตนเอง นอกจากการดูแลผู้ป่วยแล้ว ตัวผู้ดูแลเองก็ควรจะดูแลร่างกายและจิตใจของตนเองด้วย รู้ขีดความอดทน สภาพทางอารมณ์ของตัวเอง เนื่องจากการดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ตลอดเวลาอาจก่อให้เกิดความเครียดหรือปัญหาด้านอารมณ์ บางครั้งผู้ดูแลอาจรู้สึกผิด ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำว่าถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นนอกจากผู้ดูแลจะมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์แล้ว ต้องดูแลสุขภาพจิตของตนเองด้วย หากรู้สึกเหนื่อยก็ควรหยุดพักให้ผู้อื่นมาดูแลแทน เมื่อสภาพร่างกายและจิตใจพร้อมแล้วก็ค่อยกลับมาทำหน้าที่ผู้ดูแลใหม่